ในฐานะที่คนไทยคุ้นเคยกับศาสนาพุทธ เมื่อได้เห็นบรรยากาศวัดของญี่ปุ่นแล้วคงให้ความรู้สึกคุ้นเคยที่แปลกใหม่อยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของวัดญี่ปุ่นที่สร้างจากไม้ พระพุทธรูปที่มีลักษณะต่างจากเรา และอื่นๆ แต่นอกจากนี้แล้วศาสนาพุทธในญี่ปุ่นมีลักษณะเด่นอะไรอีกที่ต่างจากศาสนาพุทธในบ้านเราบ้าง?
พระมหากษัตริย์ 1. สมเด็จพระสังฆราช 2. ขุนนาง 2. "ธรรมยุติกนิกาย" 3. ประชาชน 3.
ศ. 2445 (ร. 121) โดยให้การปกครองคณะสงฆ์เป็นไปตามโครงสร้างดังกล่าวข้างต้น เมื่อบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร์ในปี พ. 2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบ "ประชาธิปไตย" โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขนั้น ต่อมาในปี พ. 2484 รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ได้ออกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับที่ 2 ขึ้น โดยมีโครงสร้างที่สอดคล้องกับระบอบ "ประชาธิปไตย" ที่เป็นอยู่ในขณะนั้น ดังนี้ 1. รัฐสภา 1. สังฆสภา 2. นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี 2. สังฆนายก และคณะสังฆมนตรี 3.. ศาล 3. คณะวินัยธร อาณาจักรมี "รัฐสภา" ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ ทางศาสนจักรก็มี "สังฆสภา" ทำหน้าที่ออกกฎหมายในฝ่ายคณะสงฆ์ อาณาจักรมี "นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี" ทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร ทางศาสนจักรก็มี "สังฆนายกและคณะสังฆมนตรี" ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหารคณะสงฆ์ โดยแบ่งออกเป็น 4 องค์การ (คล้ายกระทรวง) คือ องค์การปกครอง องค์การศึกษา องค์การเผยแผ่ และองค์การสาธารณูปการ อาณาจักรมี "ศาล" ทำหน้าที่ฝ่ายตุลาการ ทางศาสนจักรก็มี "คณะวินัยธร" ทำหน้าที่วินิจฉัยคดีและอธิกรณ์ต่างๆของฝ่ายสงฆ์ ในปี พ. 2501 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ทำรัฐประหารและนำบ้านเมืองเข้าสู่ยุคมืดแห่ง "ระบอบเผด็จการทหาร" หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจในการกำจัดศัตรูทางการเมืองแล้ว จอมพลสฤษดิ์ได้ประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับ "ประชาธิปไตย" เสีย แล้วออกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับที่ 3 ขึ้นในปี พ.
ศาสนาและภาครัฐ นับแต่สมัย กรุงสุโขทัย เป็นต้นมา ฝ่ายอาณาจักรไทยมีความสัมพันธ์กับฝ่ายศาสนจักรอย่างแน่นแฟ้น พระมหากษัตริย์ไทยและพระราชนิกุลทรงเป็นพุทธมามกะและหลายพระองค์ทรวงผนวชเป็น ภิกษุ จึงมีการอุดหนุนค้ำจุนกันระหว่างสถาบันทั้งสองเรื่อยมา ในปัจจุบัน กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม มีหน้าที่กำกับดูแลและรับรองกลุ่มศาสนาซึ่งรับรองเพียงห้าศาสนาหลักเท่านั้น และไม่รับรองกลุ่มศาสนาใดเพิ่มตั้งแต่ พ. ศ.
2505 โดยมีโครงสร้างที่สอดคล้องกับ "ระบอบเผด็จการทหาร" ของตนดังนี้ 1. ผู้นำสูงสุด 2. คณะรัฐมนตรี 2. "มหาเถรสมาคม" อาณาจักรมี "ผู้นำสูงสุด" เป็นผู้มีอำนาจทางการเมือง ทางศาสนจักรก็คือ "สมเด็จพระสังฆราช" เป็นประมุขสูงสุด อาณาจักรมี "คณะรัฐมนตรี" ที่มาจากการแต่งตั้ง ทำหน้าที่ช่วยผู้นำสูงสุดในการปกครองประชาชนทั่วประเทศ ศาสนจักรก็คือ "มหาเถรสมาคม" ที่มาจากการแต่งตั้งเช่นเดียวกัน ทำหน้าที่ช่วยเหลือสมเด็จพระสังฆราชในการปกครองพระสงฆ์ทั่วประเทศ เมื่อคณะ ร. ส. ช. (คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ) ทำรัฐประหารในปี พ. 2535 นั้น มีการแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับที่ 3 ในบางมาตรา ที่สำคัญคือ พระราชาคณะที่จะมาดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชนั้น ให้เปลี่ยนการพิจารณาจาก "อาวุโสสูงสุดโดยพรรษา" มาเป็น "อาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์" แทน พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับที่ออกโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และแก้ไขเพิ่มเติมโดยคณะ ร. นั้น จึงเป็นพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ที่เป็นเผด็จการเต็มรูปแบบ ไม่อาจจะแก้ปัญหาของคณะสงฆ์ในสังคมยุคใหม่ได้ แต่ก็ ยังคงใช้มากระทั่งถึงปัจจุบัน กระทรวงศึกษาธิการได้ร่างพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับใหม่ขึ้น โดยใช้โครงสร้างของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับ ปี พ.
ญ. พันธนันท์ เสรีเชษฐพงศ์ ม. 1/1 เลขที่ 26
การบริจาค 3. ความประพฤติดีงาม 4. ความซื่อตรง 5. ความอ่อนโยน 6. ความทรงเดช 7. ความไม่โกรธ 8. ความไม่เบียดเบียน 9. ความอดทน 10. ความไม่คลาดเคลื่อนในธรรม จักรวรรดิวัตร 12 คือธรรมอันเป็นพระราชจริยานุวัตร ทรงถือและอาศัยธรรมข้อนี้เป็นหลักสำหรับการปกครองประเทศ ดังนี้ 1. ควรอนุเคราะห์คนในราชสำนักและคนภายนอกให้มีความสุข ไม่ปล่อยปละละเลย 2. ควรผูกไมตรีกับประเทศอื่น 3. ควรอนุเคราะห์พระราชวงศานุวงศ์ 4. ควรเกื้อกูลพราหมณ์ คหบดี และคฤบดีชน คือเกื้อกูลพราหมณ์และผู้ที่อยู่ในเมือง 5. ควรอนุเคราะห์ประชาชนที่อยู่ในชนบท 6. ควรอนุเคราะห์สมณพรามณ์ผู้มีศีล 7. ควรจักรักษาฝูงเนื้อ นก และสัตว์ทั้งหลายมิให้สูญพันธ์ 8. ควรห้ามชนทั้งหลายมิให้ประพฤติผิดธรรม และชักนำด้วยตัวอย่างให้อยู่ในกุศลสุตจริต 9. ควรเลี้ยงดูคนจน เพื่อมิให้ประกอบการทุจริตและอกุศลต่อสังคม 10. ควรเข้าใกล้สมณพราหมณ์เพื่อศึกษาบุญและบาป กุศล และอกุศลให้แจ่มชัด 11. ควรห้ามจิตมิให้ต้องการไปในที่ที่พระมหากษัตริย์ไม่ควรเสด็จ 12 12. ควรระงับควา มโลภมิให้ปรารถนาในลาภที่พระมหากษัตริย์มิควรจะได้ ราชสังคหวัตถ ุ 4 ราชสังคหวัตถุ ๔ คือ 1. ทาน แบ่งปันสิ่งของให้กัน 2.
2548 ชาวมุสลิมในภาคใต้ของประเทศคิดเป็นประชากรร้อยละ 30. 4 ของประชากรที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ ในขณะที่มุสลิมในส่วนอื่นของประเทศกลับมีน้อยกว่าร้อยละ 3 ประชากรมุสลิมของไทยมีความหลากหลายและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน โดยมีกลุ่มเชื้อชาติอพยพเข้ามาจากจีน ปากีสถาน กัมพูชา บังกลาเทศ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เช่นเดียวกับชาวไทย ขณะที่มุสลิมในประเทศไทยราวสองในสามมีเชื้อสายมาเลย์ ศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสต์มีประวัติศาสตร์ยาวนานในประเทศไทย ถูกนำเข้ามาเผยแผ่โดยมิชชันนารียุโรปตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1550 ศาสนาคริสต์มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศให้ทันสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถาบันสังคม การศึกษา สาธารณสุข และเทคโนโลยี [12] ปัจจุบันประเทศไทยมี คริสต์ศาสนิกชน ประมาณร้อยละ 0. 8 ของประชากรทั้งหมด คิดเป็น 486, 840 คน โดยเป็นชาวโรมันคาทอลิกประมาณ 250, 000 คน [13] อาศัยอยู่ตามภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลัทธิอนุตตรธรรม ลัทธิอนุตตรธรรม เข้ามาในประเทศไทยครั้งแรกราว พ. 2492 จากอาจารย์ในลัทธิที่ลี้ภัยจาก พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน เข้ามาอยู่ที่ จังหวัดเชียงใหม่ และได้ตั้งสถานธรรมแห่งแรกขึ้นในประเทศไทยช่วง คริสต์ทศวรรษ 1950 ต่อมามีลัทธิอนุตตรธรรมหลายสายเข้ามาเผยแผ่ในประเทศไทยมากขึ้น ในปัจจุบันสายที่ใหญ่ที่สุดคือสายฟาอี ซึ่งประกอบด้วยหลายสายย่อย ที่สำคัญเช่น สายฟาอีฉงเต๋อซึ่งตั้งสถานธรรมแรกในปี พ.
1. พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ชาวไทยส่วนใหญ่นับถือ ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศร้อยละ 95 นับถือพระพุทธศาสนาที่สืบต่อมาจากบรรพบุรุษ นับตั้งแต่ไทยมีประวัติศาสตร์ชัดเจนชาวไทยก็นับถือพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว หลักฐานโบราณ ได้แก่ โบราณสถานที่เป็นศาสนสถาน โบราณวัตถุ เช่น พระธรรมจักร ใบเสมา พระพุทธรูป ศิลาจารึก เป็นต้น แสดงว่าผู้คนในดินแดนไทยรับนับถือพระพุทธศาสนา (ทั้งนิกายเถรวาทและมหายาน) มาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 กล่าวได้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยมาช้านานแล้ว 2. พระพุทธศาสนาเป็นรากฐานสำคัญของวัฒนธรรมไทย เนื่องจากชาวไทยนับถือพระพุทธศาสนามาช้านาน จนหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาได้หล่อหลอมซึมซับลงในวิถีไทย กลายเป็นรากฐานวิถีชีวิตของคนไทยในทุกด้าน ทั้งด้านวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรม ดังนี้ 2. 1) วิถีชีวิตของคนไทย คนไทยมีวิถีการดำเนินชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ ได้แก่ การแสดงความเคารพ การมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความกตัญญูกตเวที การไม่อาฆาตหรือมุ่งร้ายต่อผู้อื่น ความอดทนและการเป็นผู้มีอารมณ์แจ่มใส รื่นเริง เป็นต้น ล้วนเป็นอิทธิพลจากหลักธรรม ทางพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น ซึ่งได้หล่อหลอมให้คนไทยมีลักษณะเฉพาะตัว เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยที่นานาชาติยกย่องชื่นชม 2.
ศาสนา คนไทยส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา แต่ก็มิได้กีดกันผู้ที่นับถือศาสนาอื่นแต่อย่างใด 2. ภาษา คนไทยมีภาษาและตัวอักษรไทย ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงได้ประดิษฐ์ขึ้นในสมัยสุโขทัยเมื่อ พ. ศ. 1826 3.
Sitemap | fromcoldtogold.com, 2024