ซอด้วง สองคัน แต่ทำหน้าที่ผู้นำวงเพียงคันเดียว อีกคันหนึ่งเป็นเพียงผู้ช่วย ๒. ซออู้ สองคัน ถ้าสีเหมือนกันได้ ก็ให้ดำเนินทำนองอย่างเดียวกัน แต่ ถ้าสีเหมือนกันไม่ได้ก็ให้คันหนึ่งหยอกล้อห่างๆ อีกคันหนึ่งหยอกล้ออย่างถี่ หรือจะผลัดกัน เป็นบางวรรคบางตอนก็ได้ ๓. จะเข้ สองตัว ดำเนินทำนองแบบเดียวกัน ๔. ขลุ่ย สองเลา เลาหนึ่งเป็นขลุ่ยเพียงอออย่างในวงเล็ก ส่วนเลาที่เพิ่มขึ้น เป็นขลุ่ยที่มีขนาดเล็กกว่าขลุ่ยเพียงออ และมีเสียงสูงกว่าขลุ่ยเพียงออสามเสียง เรียกว่าขลุ่ยหลิบ มีหน้าที่ดำเนินทำนองหลบหลีกปลีกทางออกไป ซึ่งเป็นการยั่วเย้าไปในกระบวนเสียงสูง ๔. โทนและรำมะนา เหมือนดังในวงเครื่องสายไทยวงเล็ก ไม่เพิ่มเติม ๖. ฉิ่ง เหมือนดังในวงเครื่องสายไทยวงเล็กไม่เพิ่มเติม ทั้งหมดนี้เป็นคำอธิบายเรื่องเครื่องสายไทยบางตอนของอาจารย์มนตรี ตราโมท ผู้เคยดำรงตำแหน่งศิลปินพิเศษ กองการสังคีต กรมศิลปากร ท่านจะเห็นว่า ฉิ่งเป็นเครื่องดนตรีชิ้นสำคัญที่วงดนตรีไทยของเราจะขาดเสียมิได้ โดยเฉพาะในวงเครื่องสายไทย ฉิ่งนั้นคงจะมีประกอบวงดนตรีนานมาแล้ว เคยเห็นรูปปั้นนักดนตรีในสมัยทวาราวดี ซึ่งขุดค้นพบที่บ้านคูบัว มีนักดนตรีอยู่หมู่หนึ่ง ซึ่งถือดนตรีต่างชนิดกัน มีคนหนึ่งดูเหมือนจะถือฉิ่งอยู่ด้วย นอกจากนี้ในเรื่องเครื่องดนตรีในภาษาบาลีว่าดนตรีนั้นมีเครื่องประกอบอยู่ ๕ อย่าง คือ ๑.
อาตตะ กลองยาวหน้าเดียว ๒. วิตตะ ตะโพน ๓. อาตตวิตตะ โทนหรือรำมะนา ๔. ฆนะ ฉาบ ฉิ่ง หรือ ฆ้อง ๕.
ทวนล่าง คือส่วนของซอที่ต่อลงมาจากทวนบน ทำเป็นรูปทรงกระบอก และประดิษฐ์ลวดลายสวยงาม เช่นลงยาตะทอง ลงถมปัด ประดับมุก หรืออย่างอื่น เป็นการเพิ่มความวิจิตรงดงาม และเรียกทวนล่างนี้ว่า ทวนเงิน ทวนทอง ทวนมุก ทวนลงยา เป็นต้น ทวนล่างนี้สวมยึดไว้กับทวนบน และเป็นที่สำหรับผูก รัดอก เพื่อบังคับให้สายซอทั้ง 3 เส้นติดอยู่กับทวน นอกจากนั้นทวนล่าง ยังทำหน้าที่เป็นตำแหน่งสำหรับกดนิ้ว ลงบนสายในตำแหน่งต่างๆ 3. พรมบน คือส่วนที่ต่อจากทวนล่างลงมา ส่วนบนกลึงเป็นลูกแก้ว ส่วนตอนล่างทำเป็นรูปปากช้างเพื่อประกบกับกะโหลกซอ 4. พรมล่าง คือส่วนที่ต่อจากกะโหลกซอลงมาข้างล่าง ส่วนที่ประกบกับกะโหลกซอทำเป็นรูปปากช้าง เช่นเดียวกับส่วนล่างของพรมบน ตรงกลางของพรมล่างเจาะรูด้านบนเพื่อใช้สำหรับเป็นที่ร้อยหนวดพราหมณ์ เพื่อคล้องกับสายซอทั้งสามสายและเหนี่ยวรั้งให้ตึง ตรงส่วนปลายสุดของพรมล่างกลึงเป็น เกลียวเจดีย์ และตอนปลายสุดเลี่ยมด้วย ทองคำ หรือ ทองเหลืองเป็นยอดแหลม เพื่อที่จะปักกับพื้นได้ สะดวกยิ่งขึ้น คันซอสามสายทั้ง 4 ท่อนนี้จะมีลักษณะกลวงตลอด ยกเว้นพรมล่างตอนที่เป็นเกลียวเจดีย์เท่านั้นที่เป็นส่วนที่ตัน เพราะต้องการ ความแข็งแรง ในขณะปักสีเวลาบรรเลง และคันซอทั้ง 4 ท่อนนี้ จะสวมไว้กับแกนที่สอดไว้กับ กะโหลกซอ 5.
ประเภทเครื่องสี หมายถึงเครื่องดนตรีประเภทหนึ่งที่มีสาย ทำให้เกิดเสียงได้โดยการใช้สี เครื่องดนตรีประเภทนี้ ในวงการดนตรีไทยได้แก่ 1. ซอด้วง 2. ซออู้ 3. ซอสามสาย 4. สะล้อ ซอด้วง เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสีที่มี 2 สาย ซึ่งเดิมเป็นเครื่องดนตรี ของจีน ร่วมบรรเลงในวงเครื่องสายเมื่อราวต้นสมัยรัตนโกสินทร์ หรือถ้าก่อนนั้นก็คงราวปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา พร้อมกันกับซออู้ มีหน้าที่เป็นผู้ทำทำนองเพลง สีเก็บถี่ๆบ้าง โหยหวนเป็นเสียงยาวบ้าง เป็นหลักในการดำเนินเนื้อเพลง และเป็นผู้นำวง ด้วยเหตุที่เรียก "ซอด้วง" ก็เพราะว่ากะโหลกซอนั้น มีลักษณะคล้ายกับเครื่องดักสัตว์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ด้วงดักแย้"
ชาวสยามมีเครื่องดุริยางค์เล็กๆ น่าเกลียดมาก มีสามสายเรียกว่า "ซอ" …. " ซึ่งชี้ให้เห็นว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือก่อนนั้น มีซอสามสายและนิยมเล่นกัน และลักษณะรูปร่างของซอสามสายก็คงจะยังไม่สวยงามมากอย่างในปัจจุบันนี้ จนมาถึงยุคต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 สืบเนื่องมาจากที่พระองค์ท่านมีอัจฉริยภาพในทางศิลปะด้านต่างๆ เช่น ทรงแกะสลักบานประตูพระวิหารวัดสุทัศน์เทพวรารามด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง อีกประการหนึ่ง พระองค์ท่านยังโปรดทรงซอสามสายเป็นอย่างยิ่ง จึงทำให้พระองค์ท่านได้ประดิษฐ์คิดสร้างซอสามสายได้ด้วยความประณีต งดงาม และเป็นแบบอย่างมาจนถึงปัจจุบันนี้ ส่วนต่าง ๆ ของซอสามสายมีชื่อเรียกดังนี้ 1. ทวนบน เป็นส่วนบนสุดของคันซอ คว้านด้านในให้เป็นโพรงโดยตลอด ด้านบนสุดมีรูปร่างเป็นทรงเทริด ทวนบนนี้ เจาะรูด้านข้างสำหรับใส่ลูกบิด 3 ลูก ด้านหน้าตรงปลายทวนตอนล่าง เจาะรูสำหรับร้อยสายซอ ที่สอดออกมาจากรัดอก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อกซอ ทวนบนนี้ทำหน้าที่คล้าย ๆ กับท่ออากาศ (Air column) ให้เสียงที่เกิดจากกะโหลกเป็นความถี่ของเสียง แล้วลอดผ่านออกมาทางทวนบนนี้ได้ 2.
ซออู้ เป็นเครื่องสีที่ใช้กะโหลกจากกลามะพร้าว โดยจะนำมาตัดตามแนวยาวเพื่อใช้สำหรับอุ้มเสียง ด้านหน้าจะใช้หนังสัตว์มาขึง เพื่อช่วยสร้างเสียงที่มีความไพเราะ ส่วนใหญ่มักขึงพวกหนังของวัว เพราะเป็นวัสดุที่หาง่าย คันชักทำจากไม้ โดยด้านบนมีลูกบิดที่ใช้สำหรับปรับแต่งความตึงของสาย วัสดุที่นำมาใช้ทำสายสอคือ 'ไหมฟั่น' ในอดีตเราจะเห็นเครื่องซออู้มีการแกสลักด้วยลวดลายสวยงามอย่างมาก ซึ่งหาพบได้ยากแล้วในปัจจุบัน ซออู้นิยมเล่นกันในวงปีพาทย์ ให้เสียงที่ทุ้มต่ำ เชื่อว่านำเข้ามาใช้ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ภายหลังได้มีการฟื้นฟูขึ้น โดยกรมศิลปากร ซึ่งได้จัดให้มีการแสดงปีพาทย์ร่วมกับซออู้ด้วยเป็นครั้งคราว
21 ก. ค.
เครื่องสี เป็นเครื่องสายที่ทำให้เกิดเสียงด้วยการใช้คันชักสีเข้ากับสายในดนตรีไทยเรียกว่า ซอ ซึ่งมีอยู่ ๓ ชนิด ด้วยกัน คือ ซอสามสาย ซออู้ และซอด้วงที่เป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านได้แก่ สะล้อ สำหรับประเทศทางตะวันตก เครื่องดนตรีประเภทนี้ได้แก่ ไวโอลินและไวโอลา เป็นต้น ตัวอย่างการสีซอด้วง วิดีโอ YouTube
เครื่องดนตรีไทยประเภทเป่า เครื่องเป่า หมายถึงเครื่องดนตรีประเภทที่ใช้ลมเป่าให้เกิดเสียง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 1. ประเภทที่มีลิ้น ซึ่งทำด้วยใบไม้ หรือไม้ไผ่ หรือโลหะ สำหรับเป่าลมเข้าไปในลิ้นๆจะเกิดความเคลื่อนไหวทำให้เกิดเสียงขึ้น เรียกว่า " ลิ้นปี่ " และเรียกเครื่องดนตรีประเภทนี้ว่า " ปี่ " 2. ประเภทไม่มีลิ้น มีแต่รูบังคับให้ลมที่เป่าหัก มุมแล้วเกิดเป็นเสียง เรียกว่า " ขลุ่ย " ทั้งปี่และขลุ่ย มีลักษณะเป็นนามว่า " เลา "มีวิธีเป่าที่เป็นเอกลักษณ์ คือ การเป่าด้วยการระบายลม ซึ่งให้เสียงปี่ดังยาวนานติดต่อกันตลอด เครื่องเป่าที่มีลิ้น ปี่ในวงการดนตรีไทยมี 9 ชนิดคือ 1. ปี่ใน ใช้เป่ากับวงปี่พาทย์ไม้แข็งคู่กับปีนอก 2. ปี่นอก ใช้เป่ากับวงปี่พาทย์ไม้แข็งคู่กับปี่ใน 3. ปี่นอกต่ำ ใช้เป่ากับวงปี่พาทย์ในสมัยหนึ่ง 4. ปี่กลาง ใช้เป่ากับการแสดงหนังใหญ่ 5. ปี่ชวา ใช้เป่ากับปี่พาทย์นางหงส์ และ เครื่องสายปี่ชวา และวงปี่กลอง 6. ปี่มอญ ใช้เป่ากับวงปี่พาทย์มอญ 7. ปี่อ้อ 8. ปี่จุ่ม 9. แคน เครื่องเป่าที่ไม่มีลิ้น ปี่ในวงการดนตรีไทยมี 3 ชนิดคือ 1. ขลุ่ยลิบ 2. ขลุ่ยอู้ 3. ขลุ่ยเพียงออ
Sitemap | fromcoldtogold.com, 2024